ทรัมป์เดินเกมการค้าเข้ม ขยายภาษีนำเข้าเหล็ก-อะลูมิเนียม 50% ครอบคลุมสินค้ากว่า 407 ประเภท ผู้เชี่ยวชาญชี้กระทบมูลค่านำเข้า 3.2 แสนล้านดอลลาร์ หนุนอุตสาหกรรมในประเทศแต่เพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ
โดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าขยายขอบเขตกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 50% อย่างเงียบ ๆ แต่สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงกว้าง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ครอบคลุมสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 407 ประเภท จากเดิมที่จัดเก็บภาษีอยู่แล้ว ส่งผลให้รายการสินค้าที่ได้รับผลกระทบมีความหลากหลายและลึกขึ้นกว่าเดิม
สินค้าที่ถูกบรรจุอยู่ในรายการใหม่นี้ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องจักร เครื่องดับเพลิง วัสดุก่อสร้าง สารเคมีเฉพาะทาง ไปจนถึงชิ้นส่วนรถยนต์ พลาสติก และส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์ โดยไบรอัน บอลด์วิน รองประธานฝ่ายศุลกากรจาก Kuehne + Nagel International AG ระบุว่า “หากเป็นสินค้าที่มีความมันวาว เป็นโลหะ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมเพียงเล็กน้อย ก็มีแนวโน้มที่จะถูกเก็บภาษีในครั้งนี้” พร้อมย้ำว่านี่ไม่ใช่เพียงการขึ้นภาษีทั่วไป แต่เป็น “การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์” ของนโยบายการค้า
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยืนยันว่ามาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อปิดช่องโหว่การหลีกเลี่ยงภาษี และสนับสนุนการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมในประเทศ โดยเจฟฟรีย์ เคสส์เลอร์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ด้านอุตสาหกรรมและความมั่นคง ระบุว่าเป็นการเสริมความแข็งแกร่งของนโยบายที่เริ่มใช้มาก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เจสัน มิลเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต ประเมินว่าภาษีชุดใหม่นี้ครอบคลุมมูลค่าการนำเข้าไม่ต่ำกว่า 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยคำนวณไว้ราว 190,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าต้นทุนสินค้าจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เงินเฟ้อและราคาผู้ผลิตภายในประเทศยังคงเร่งตัว
การประกาศครั้งนี้ไม่ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย โดยทำเนียบขาวเผยว่าทรัมป์ได้ส่งสัญญาณมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และสำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคงได้เปิดให้บริษัทต่าง ๆ ยื่นคำขอรวมสินค้าใหม่ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนว่ามาตรการดังกล่าวถูกวางแผนอย่างต่อเนื่อง